กยศ.เชิญชวนผู้กู้ยืมไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้อง ผู้เข้าร่วมโครงการจะไม่ถูกฟ้อง ขยายเวลาชำระหนี้ และได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เชิญผู้กู้ยืมเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมไม่ให้ถูกดำเนินคดี พร้อมมีส่วนลดเบี้ยปรับ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นเจ้าภาพจัดงานในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 ไบเทค บางนา

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ขอเชิญชวนผู้กู้ยืมเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 (กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ในระหว่างวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 08.30-16.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 (BH 1-3) เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งส่งผลให้ผู้กู้ยืมบางส่วนขาดรายได้และผิดนัดชำระหนี้ นำไปสู่การดำเนินคดีหรือถูกบังคับคดีตามกฎหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายของกองทุน ได้แก่ ผู้กู้ยืมกลุ่มที่ค้างชำระหนี้ที่ถูกบอกเลิกสัญญาและกำลังจะถูกฟ้อง และผู้กู้ยืมกลุ่มที่จะถูกบังคับคดีที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งกองทุนจะได้ส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ หากผู้กู้ยืมเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย กองทุนจะไม่จำเป็นต้องดำเนินคดี ซึ่งจะลดภาระค่าใช้จ่ายของกองทุน และนอกจากผู้กู้ยืมที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจะไม่ถูกดำเนินคดีแล้ว ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ รวมทั้งได้รับโอกาสในการขยายระยะเวลาผ่อนชำระได้ถึงอายุ 65 ปี เพื่อให้ผู้กู้ยืมสามารถกลับเข้ามาสู่ระบบการชำระหนี้ให้เป็นปกติ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่อยู่ระหว่างการขอแก้ไขมีผลบังคับใช้ กองทุนจะมีอำนาจในการปลดภาระผู้ค้ำประกัน โดยกองทุนมีหลักการว่าจะยกเลิกการค้ำประกันของผู้ค้ำประกัน เมื่อผู้กู้ยืมได้ผ่อนชำระเงินต้นมาแล้วร้อยละ 25 ของเงินต้นที่ค้างชำระอีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าและรับสิทธิขอไกล่เกลี่ยฯ ได้ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทรศัพท์หมายเลข 0-2016-4888 และหลังจากนี้ ทางกองทุนจะได้ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในการไกล่เกลี่ยหนี้กับผู้กู้ยืมที่มีภูมิลำเนาต่างๆ ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) | กองทุนหมุนเวียนที่ให้โอกาสทางการศึกษา
studentloan.or.th

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

กระชาก KCE-HANA |ออฟเรคคอร์ด

KCE ถล่มเทขายยับ ท่ามกลางต่างชาติกลับมาช้อปหุ้นแบงก์กันยกกลุ่ม หมดรอบแล้ว ? หรือ หมดข่าวดี ? ราคาหุ้นดิ่งขนาดนี้
๐๐๐ กระชาก KCE-HANA

หุ้นไทย ทะยานได้เห็น 1,700 จุด เป็นที่เรียบร้อยสมใจหวังนักลงทุนที่รอมานาน เพราะช่วง “ ขาลง” ไม่ดิ่งแรง “ขาขึ้น” ไม่ปรู๊ดปราด แต่พอมีเงินต่างชาติเข้ามาไล่เก็บสะสมหุ้นใหญ่อย่าง แบงก์ ที่มากันครบทีมยกแผง ดันหุ้นขึ้นมารอบนี้ได้

หุ้นขึ้นมีหุ้นลงแต่ที่ลงแล้วเห็นแล้วพากันตกอกตกใจเพราะเล่นขายทิ้งดิ่งในหุ้น KCE – HANA แบบไร้แนวรับเพราะจุดรับราคาที่แข็งๆ ก็ยังเอาไว้ไม่อยู่

หนักสุด KCE ปีที่ผ่านมา ขึ้นแท่นหุ้นที่ผลตอบแทนโดดเด่นราคาทะลุ 90 บาท แต่ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแรงขาย พักๆ หยุดๆ มาต่อเนื่องจนวานนี้ราคาลงมาลึกปิดที่ 64.75 บาท ลดลง11.60% วอลุ่มไม่ธรรมดา 6,000 กว่าล้านบาท ด้วยจำนวนหุ้น 90 ล้านหุ้น มีตั้งรายการบิ๊กล็อตเข้ามาผสมแรงขาย

ตามเนื้อผ้าต้องว่า “หมดรอบ” “ธีมไม่ใช่” ยังไงต้องขายหมุนกลุ่มลงทุน แม้กำไรไตรมาส 4 ปี 64 ที่ออกมา 701 ล้านบาท บวกไป 54% Y-Y ประเด็นไปอยู่ที่กำไรขั้นต้น 25% ต่ำกว่าคาดไปมากเทียบกลับยอดพุ่งปรี๊ด ตามมาด้วย ข่าวร้ายซุบซิบ ในตลาดหุ้นเผชิญปัญหาสายการผลิตที่ทำให้เกิดอาการสะดุดกดกำไรขั้นต้นลดลงหนัก

ใครไหวตัวทัน ราคาหุ้นที่ขึ้นมาจากช่วงสตาร์ท 40-50 กว่าบาท ต่อเนื่องขนาดนี้ ถึงเวลาขาย กวาดกำไรไปก่อนดีกว่า

๐๐๐

หุ้นไทยกลับมาโชว์ฟอร์มเทพอีกครั้ง ระหว่างวันพุ่งแรงกว่า 20 จุด จนยืนทะลุแนวต้านสำคัญ 1,700 จุดได้สำเร็จ รับแรงหนุนจากกระแสฟันด์โฟลว์ที่ยังไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่

ดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,703.16 จุด เพิ่มขึ้น 18.93 จุด หรือ 1.12% ระหว่างวันแตะระดับสูงสุดที่ 1,708.03 จุด และระดับต่ำสุดที่ 1,688.95 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 135,624.66 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติซื้อ 17,312.19 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ ซื้อ 407.31 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขาย 4,395.01 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขาย 13,324.50 ล้านบาท

๐๐๐

หุ้นบมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ดิ่งแรง 11.60% มาอยู่ที่ 64.75 บาท เผชิญแรงขาย sell on fact หลังประกาศงบปี 64

ปรากฏว่าสร้างความผิดหวังให้นักลงทุนเล็กๆ แม้กำไรไตรมาส 4 ยังเติบโต แต่ตลาดคาดหวังไว้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ดูยังมั่นใจในธุรกิจ จึงพร้อมใจเชียร์ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 120 บาท โดยบล.เคจีไอ

ส่วนบมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) ถูกขายตามมาติดๆ ร่วง 9.25% ปิดที่ 63.75 บาท หวั่นว่าจะทำให้นักลงทุนผิดหวังเหมือนเพื่อนร่วมกลุ่ม

๐๐๐

ส่วนหุ้นพลังงานต้นน้ำ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่วิ่งขึ้นมาอย่างร้อนแรง ล่าสุดเริ่มมีแรงขายซะแล้ว ลงมาปิดที่ 133.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.37% หลังราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงลงกว่า 2% จากความคืบหน้าเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะเปิดทางให้อิหร่านส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น

แต่เมื่อลองซาวด์เช็คจากบรรดากูรู ส่วนใหญ่มองราคาน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แถมจะได้เห็นราคาทะยานแตะ 100 บาร์เรลด้วยซ้ำ ท่ามกลางดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ PTTEP ยังมีปัจจัยบวกรออยู่ หลังปีนี้รัฐเตรียมเปิดประมูลสำรวจแห่งปิโตรเลียมใหม่ 3 แปลง

๐๐๐

พี่ใหญ่ของกลุ่มถ่านหิน บมจ.บ้านปู (BANPU) ปิด 11.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.88% โมเมนตัมเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังใกล้ถึงวันประกาศงบ เรียกว่าเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ หลังขาดทุนต่อเนื่องมา 2 ปีติด เดี๋ยวคงต้องรอดูว่าเมื่อพลิกมีกำไรแล้วจะจัดปันผลชุดใหญ่ให้นักลงทุนหรือเปล่า?

๐๐๐

ด้านบมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) เด้งมาปิดที่ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 5.45% รับอานิสงส์จากราคาก๊าซ NGV ที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนปีนี้จะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ๆ เข้ามา ทั้งโรงไฟฟ้า โซลาร์รูฟท็อป การขนส่ง รวมถึงธุรกิจสายเขียวที่บริษัทประกาศรุกธุรกิจกัญชงครบวงจร

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business

ดาวโจนส์ปิดร่วง 622.24 จุด ผวารัสเซียใกล้บุกโจมตียูเครน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุด ในวันพฤหัสบดี (17 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐยืนยันว่ารัสเซียพร้อมที่จะบุกโจมตียูเครน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,312.03 จุด ลดลง 622.24 จุด หรือ -1.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,380.26 จุด ลดลง 94.75 จุด หรือ -2.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,716.72 จุด ลดลง 407.38 จุด หรือ -2.88%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลถึงความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะบุกโจมตียูเครน ซึ่งจะส่งผลให้ชาติตะวันตกซึ่งรวมถึงสหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย

 

นายไบรอัน โอทูล อดีตที่ปรึกษาระดับอาวุโสของผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมทรัพย์สินในต่างประเทศ (OFAC) ของกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวว่า มาตรการลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จะตอบโต้รัสเซียในกรณียกพลบุกโจมตียูเครนก็คือ การออกมาตรการคว่ำบาตรภาคธนาคารของรัสเซียไม่ให้เข้าถึงสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ธนาคารรัสเซียไม่สามารถทำธุรกรรมด้วยเงินสกุลดอลลาร์ได้

ภาพถ่ายทางดาวเทียมจากบริษัทแม็กซาร์ เทคโนโลยีของสหรัฐเปิดเผยให้เห็นว่า กองทัพรัสเซียได้เคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์บางส่วนออกจากชายแดนยูเครนแล้ว แต่ก็มีการขนส่งอาวุธใหม่เข้ามา โดยหลักฐานดังกล่าวบ่งชี้ว่า รัสเซียยังคงตรึงกำลังทหารและมียุทโธปกรณ์จำนวนมากตามแนวชายแดนยูเครน แม้กองทัพรัสเซียกล่าวอ้างก่อนหน้านี้ว่ามีการถอนกำลังทหารบางส่วนออกไปก็ตาม

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มสื่อสารร่วงลง 3.07% และ 2.96% ตามลำดับ ทั้งนี้ หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ดิ่งลง 4.08% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.77% ห้นแอปเปิล ร่วงลง 2.13% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.93% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลง 2.87% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 2.24%

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ดิ่งหลุดจากระดับ 2% เมื่อคืนนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 3.05% หุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.30% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 3.40% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 3.35% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ทรุดลง 4.94%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 23,000 ราย สู่ระดับ 248,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 219,000 ราย

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 4.1% ในเดือนม.ค. สู่ระดับ 1.638 ล้านยูนิต โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และสภาพอากาศที่หนาวเย็น

อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/money_market

เปิดตัว “BAANDY Terminal” แพลตฟอร์มเชื่อมออฟไลน์-ออนไลน์ สร้างระบบขายสินค้าหน้าร้านวัสดุก่อสร้าง

“บานดี้” เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ “BAANDY Terminal” เชื่อมต่อออฟไลน์-ออนไลน์ สร้างระบบขายสินค้าหน้าร้านวัสดุก่อสร้างรูปแบบใหม่ One stop service ชูจุดเด่นเข้าถึงพฤติกรรมลูกค้าผ่านประวัติสั่งซื้อสินค้าแบบ Realtime เช็กจำนวนสินค้า บริหารสต๊อก ระบบบัญชี เก็บข้อมูลแม่นยำ ปลอดภัยสูง คาดมีร้านค้าใช้ระบบช่วงแรก 500 ร้านค้า เดินหน้าอัปฐานลูกค้าสู่ 3,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ทุ่มงบ 60 ล้านบาท พัฒนาแพลตฟอร์มต่อตามแผน ตั้งเป้ารายได้ปี 65 โต 400 ล้านบาท

นายณัฏฐ์นวัต พันธุกรกวีวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ บานดี้ จำกัด ผู้พัฒนา BAANDY แอปพลิเคชันซื้อ-ขายวัสดุก่อสร้างครบวงจร สินค้าตกแต่งฝีมือคนไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากบริษัทเปิดตัวแฟลตฟอร์ม BAANDY Application ในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและมียอดขายรวมกว่า 6,000 รายการ จึงมองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อและผู้ขายที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ BAANDY มุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการซื้อขายให้มีประสิทธิภาพ สะดวกกับผู้ซื้อทั่วประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์มในการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์ม “BAANDY Terminal” ระบบปฏิบัติการขายสินค้าหน้าร้านและออนไลน์รูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่ต้องการเชื่อมโยงระบบ O2O (Online to Offline) เข้าด้วยกัน

โดยมีวัตถุประสงค์นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงวงการค้าขายวัสดุก่อสร้าง ด้วยกลยุทธ์การเชื่อมโยงร้านค้าแต่ละพื้นที่ จากระบบออฟไลน์สู่ระบบออนไลน์ได้เต็มรูปแบบ และทำให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างบริหารจัดการหน้าร้านใช้งานง่ายขึ้นในแบบ One stop service จากการเชื่อมต่อระบบขายหน้าร้านกับระบบการขายออนไลน์แบบทันท่วงที (Realtime) BAANDY Terminal สามารถเข้าถึงและเข้าใจถึงพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึกผ่านประวัติการสั่งซื้อสินค้า ช่วงวันเวลาที่ซื้อสินค้า รายการสินค้าที่นิยมสั่งแบบ Realtime ซึ่งระบบหลังบ้านเหล่านี้จะช่วยให้ร้านค้าสามารถเช็กจำนวนสินค้า บริหารสต๊อกสินค้า ระบบบัญชี โดยข้อมูลต่างๆ จะถูกนำมาวิเคราะห์และออกแบบเป็นแผนการตลาด และโปรโมชันต่างๆ เพื่อดึงดูดใจลูกค้า และนำเสนอสินค้าแก่กลุ่มลูกค้าได้ตรงกับความต้องการอย่างแม่นยำ ที่สำคัญข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้บน iCloud ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะได้รับความปลอดภัยสูง เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับร้านค้าในยุคดิจิทัลที่มีการเปิดจำหน่ายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์และหน้าร้านได้เชื่อมโยงกัน เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด และเพิ่มโอกาสการขายสินค้าให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เพื่อต่อยอดในการคิดพิจารณาขยายกิจการหรือสร้างประโยชน์ต่างๆ ให้ร้านค้าได้มากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ เชื่อว่า BAANDY Terminal จะได้กระแสการตอบรับที่ดีจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างหันมาใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้ามีร้านค้าเข้ามาใช้ระบบประมาณ 500 ร้าน จากปัจจุบันเริ่มมีร้านค้าสนใจแล้วกว่า 100 ร้านในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเงินลงทุนสำหรับร้านค้าที่ต้องการการติดตั้งแพลตฟอร์ม BAANDYTerminal คาดว่าจะมีระดับราคาตั้งแต่ 1,000-5,000 บาทต่อเดือน และมีราคาพิเศษสำหรับเหมาจ่ายเป็นรายปีอีกด้วย

“บริษัทมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างไม่หยุดนิ่งด้วยการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ช่วยทำให้การซื้อขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายที่สุดเพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในเครือข่ายสามารถแข่งขันกับร้านค้า Modern Trade ที่ขยายตัวได้ผ่านแพลตฟอร์ม “BAANDY Terminal” นายณัฏฐ์นวัต กล่าว

สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ยังคงเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่องโดยประเมินมูลค่าตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมมีมากถึง 5 แสนล้านบาท ซึ่งปี 2565 มองว่าตลาดจะเติบโตประมาณ 3-5% จากปีก่อนแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบในปีที่แล้ว แต่ในปีนี้ประเทศไทยรับมือและเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น ดังนั้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้ดีมานด์การใช้จ่ายสูงขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างต่างปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจกันต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทได้ลงพื้นที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้างไปแล้วกว่า 2,300 ร้านค้า โดยมีกลุ่มลูกค้าที่เข้าร่วมเปิด และพร้อมขายสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน BAANDY แล้วกว่า 900 ร้านค้าในภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งบริษัทจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้ง 900 ร้านค้าเดิมให้สามารถใช้ข้อมูลในระบบฐานปฏิบัติการได้อย่างชำนาญและพร้อมขยายงานได้ในแต่ละรายมากขึ้น

อีกทั้งยังวางแผนขยายจำนวนร้านค้าที่อยู่บนแอปพลิเคชัน BAANDY ไปสู่เป้าหมายระดับ 3,000 ร้านค้าทั่วประเทศ โดยปีนี้เน้นขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมภาคตะวันออกเป็นหลักและวางแผนจะขยายฐานลูกค้าภาคอีสานตอนบน และกรุงเทพฯ-ปริมณฑลต่อไป ขณะที่งบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้ที่ 50-60 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มตามเป้าหมายในแต่ละปีและเน้นเพิ่มโปรโมชันสินค้าป้ายแดงลดราคาตั้งแต่ 10-90% โดยการสุ่มสินค้าและช่วงเวลา เพื่อต้องการให้ผู้ซื้อเข้าแอปพลิเคชันบ่อยขึ้น
พร้อมร่วมสนุกและถือเป็นการคืนกำไรให้ผู้ซื้อด้วย

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 65 อยู่ที่ 400 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นรายได้จากแพลตฟอร์ม 40% รายได้จากค่าโฆษณา 15% รายได้จากระบบปฏิบัติการร้าน 25% รายได้จากการจัดส่ง 15% และรายได้อื่นๆ 5% นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ามีสินค้าวัสดุก่อสร้างและของใช้เกี่ยวกับบ้านมากกว่า 40,000 รายการให้ลูกค้าเลือกซื้อ จากปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 รายการ

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

JMART ดันแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ ตั้ง JayDee Group

“เจ มาร์ท” ตั้ง JayDee Group ดึงพาร์ตเนอร์ดีลเลอร์ค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า เจาะตลาดหัวเมืองใหญ่ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ นำเทคโนโลยีปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยซินเนอร์ยีร่วมกันครบทุกมิติ ตั้งเป้าหมายสร้างการเติบโตทางธุรกิจตาม SINGER เตรียมดัน JayDee Group เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 3 ปีจากนี้ หนุนสร้างโอกาส J Curve

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) เปิดเผยว่า JMART ได้ประกาศตั้ง บริษัท เจ ดี กรุ๊ป จำกัด (JayDee Group) ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการดีลเลอร์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศมาร่วมเสริมอีโคซิสเต็มของกลุ่มเจมาร์ทให้ครบวงจรยิ่งขึ้น ปลุกตลาดค้าปลีกตามหัวเมืองต่างจังหวัด ผ่านฐานลูกค้าของดีลเลอร์ทั้งในรูปแบบเงินสดและเงินผ่อน พร้อมจัดเต็มด้านสินเชื่อ KB J และ SINGER ประกัน และโลจิสติกส์ร่วมกันกับ Kerry

โดย JMART มองเห็นศักยภาพการลงทุนครั้งนี้ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบมาปฏิวัติอุตสาหกรรมค้าปลีกเข้าสู่รูปแบบดิจิทัล ตามวิสัยทัศน์ Technology Investment Holding Company รวมทั้งปรับกลยุทธ์ทำการตลาดแบบ Online-to-Offline (O2O) เพื่อผลักดันให้ค้าปลีกไทยหนีการถูกดิสรัปชันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าตามหัวเมืองทั่วประเทศ ให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี และเปิดโอกาสสร้างพันธมิตรทางการค้าเพื่อซินเนอร์ยีร่วมกัน เช่น การนำผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ผลิตภัณฑ์ Solar Rooftop จาก JV Gunkul และสินค้าเทคโนโลยีของเจมาร์ท เข้ามาจัดจำหน่ายในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้เพิ่มเติม ทำให้การกระจายสินค้าครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกช่องทางมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยบริการด้านการเงินครบวงจร ทั้งสินเชื่อของ KB J ไม่มีบัตรเครดิตก็ผ่อนได้ สินค้าและสินเชื่อเงินผ่อนของ SINGER อีกทั้งการนำผลิตภัณฑ์ด้านประกันในกลุ่มเจมาร์ทเข้ามาต่อยอดการเติบโต นอกจากนี้ หากมีพันธมิตรที่ร่วมลงทุนสาขาไหนที่พร้อมที่จะดำเนินงานทางด้านธุรกิจตามหนี้ก็สามารถเป็น Franchise หนึ่งของกลุ่มธุรกิจเจมาร์ทได้ด้วย สนับสนุนโอกาสการเติบโตและการสร้างผลการดำเนินงานแบบ Exponential Growth

นายยงยุทธ เตชะเศรษฐธนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ดี กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีดีลเลอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า
8 รายที่หารือในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร โดยมีรายนามดังนี้

1.บริษัท กู๊ดดีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2.บริษัท มัลติ โปร เซ็นเตอร์ จำกัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร
3.บริษัท พูนสิน จำกัด จังหวัดกาญจนบุรี
4.บริษัท เดอะเกรท อิเลคทริค ซิตี้ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี
5.บริษัท เดอะเบสท์วัน ระยอง จำกัด จังหวัดระยอง
6.บริษัท นคร ดี ซี จำกัด จังหวัดนครศรีธรรมราช
7.บริษัท สงวนพาณิชย์ เอวี จำกัด จังหวัดสงขลา
8.หจก.สุรินทร์ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส

ทั้งนี้ ด้วยเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมามีค่อนข้างมาก สิ่งที่ดีลเลอร์มีคือ ฐานลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่เราจะต้องขยาย Ecosystem ให้พันธมิตรดีลเลอร์เติบโตกว่านี้ให้ได้ เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งค้าปลีกอื่นๆ

โดยตลาดที่ JayDee Group เน้นจะเป็นกลุ่มลูกค้าตามหัวเมืองในต่างจังหวัด ซึ่งจะยิ่งไปเสริมโมเดลธุรกิจของ SINGER ต่อยอดให้เติบโตไปพร้อมกัน ทั้งนี้ สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่เล็งเห็นว่ามีศักยภาพด้านการขยายตลาด ทาง JayDee Group จะพิจารณาการเปิดสาขาเองเช่นกัน

บริษัท เจ ดี กรุ๊ป จำกัด มีโอกาสในการเติบโต จากธุรกิจเดิมของพันธมิตรร่วมทุน ที่มีฐานลูกค้าในพื้นที่ การนำเอาระบบ และเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้จะยิ่งสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ภายใต้การร่วมทุนครั้งนี้ เจมาร์ท พร้อมจะเป็นพันธมิตรร่วมทุนด้วยสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 24.99

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket