สรรพสามิต เผย 6 เดือน จับสินค้าเถื่อนกว่า 1.3 หมื่นคดี

สรรพสามิต เผย 6 เดือนปีงบฯ 65 จับสินค้าหนีภาษีได้กว่า 1.3 หมื่นคดี คิดเป็นค่าปรับรวมกว่า 256 ล้านบาท พบสุรา มากสุดกว่า 7 พันคดี รองลงมาคือ ยาสูบ และรถจักรยานยนต์

นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี

โดยผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 25 – 31 มีนาคม 2565) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 410 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.32 ล้านบาท

 

ทำให้ยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 13,828 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 256.35 ล้านบาท โดยแยกเป็น

-สุรา จำนวน 7,316 คดี ค่าปรับ 66.53 ล้านบาท

-ยาสูบ จำนวน 4,859 คดี ค่าปรับ 127.80 ล้านบาท

-รถจักรยานยนต์ จำนวน 665 คดี ค่าปรับ จำนวน 15.56 ล้านบาท

-น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 366 คดี ค่าปรับ 18.20 ล้านบาท

-ไพ่ จำนวน 238 คดี ค่าปรับ 2.27 ล้านบาท

-น้ำหอม จำนวน 68 คดี ค่าปรับ 3.17 ล้านบาท

-สินค้าอื่น ๆ จำนวน 316 คดี ค่าปรับ 22.82 ล้านบาท

 

โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 99,654.420 ลิตร ยาสูบ จำนวน 2,774,201 ซอง ไพ่ จำนวน 15,2777 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 564,340.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 83,980 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 815 คัน

 

ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ

อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/money_market

แฮกเกอร์จู่โจม Axie Infinity ฉกเงินไปกว่า 20,000 ล้านบาท

จากการรายงานของ cointelegraph ระบุถึงโพสต์ประกาศใน Discord อย่างเป็นทางการของ Axie Infinity และเธรด Twitter ของ Ronin Network พร้อมกับหน้า Substack Ronin bridge และ Katana Dex ซึ่งถูกระงับการใช้งาน โดยแฮกเกอร์เจาะระบบและขโมยเหรียญ Ethereum จำนวน 173,600 ETH และนอกจากนี้ยังรวมไปถึง USD Coin อีกประมาณ 25.5 ล้าน USDC ซึ่งมีมูลค่ารวมกัน 612 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท โดยในแถลงการณ์ประกาศนักพัฒนากล่าวว่าพวกเขากำลังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย นักตรวจสอบรหัสทางนิติเวช และนักลงทุน เพื่อให้แน่ใจว่าเงินทั้งหมดจะได้รับการกู้คืนหรือคืนเงิน AXS, RON และ SLP Token บน Ronin ทั้งหมด

“เรากำลังติดต่อกับทีมรักษาความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนครั้งสำคัญ และจะติดต่อกลับไปในไม่กี่วันข้างหน้า” ทีมงานของ Ronin กล่าว

ตามที่นักพัฒนาของ Ronin บอก ผู้โจมตีใช้คีย์ส่วนตัวที่ถูกแฮ็กเพื่อปลอมแปลงการถอนเงิน โดยถอนเงินจาก Ronin bridge ในธุรกรรมเพียงสองธุรกรรม ที่สำคัญกว่านั้น การแฮ็กเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม แต่ถูกค้นพบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่ผู้ใช้รายหนึ่งถูกกล่าวหาว่าค้นพบปัญหาหลังจากล้มเหลวในการถอน ETH 5,000 ใน ETH จาก Ronin bridge ในขณะที่เผยแพร่ RON ซึ่งเป็นโทเค็นการกำกับดูแลหลักของ Ronin ลดลงเกือบ 20% มาอยู่ที่ 1.88 ดอลลาร์ในชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ถูกจู๋โจม

อย่างไรก็ดีปัจจุบันเครือข่าย Ronin ของ Sky Mavis ประกอบด้วยโหนดตรวจสอบจำนวน 9 โหนด ซึ่งจำเป็นต้องมีอย่างน้อย 5 ลายเซ็นเพื่อรับรองธุรกรรมการฝากหรือถอนเงิน โดยผู้โจมตีสามารถควบคุมคีย์ส่วนตัวได้ 5 คีย์ ซึ่งประกอบด้วยตัวตรวจสอบ Ronin 4 ตัวของ Sky Mavis และตัวตรวจสอบบุคคลที่ 3 ที่ดำเนินการโดย Axie Decentralized Autonomous Organisation หรือ DAO การได้รับการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นใช้เวลานานเป็นพิเศษ

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เมื่อ Sky Mavis ผู้พัฒนาระบบนิเวศ Axie Infinity และ Ronin ขอความช่วยเหลือจาก Axie DAO เพื่อแจกจ่ายธุรกรรมฟรีเนื่องจากจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น Axie DAO ได้อนุญาติให้ Sky Mavis ลงนามในธุรกรรมต่างๆ ในนามของบริษัท และกระบวนการนี้หยุดดำเนินการในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงรายการที่อนุญาตพิเศษไม่ถูกเพิกถอน

เมื่อผู้โจมตีเข้าถึงระบบ Sky Mavis พวกเขาได้รับลายเซ็นสุดท้ายจากตัวตรวจสอบความถูกต้องของ Axie DAO ซึ่งจะทำให้ผ่านเกณฑ์โหนดที่จำเป็นสำหรับการดูดเงินจาก Ronin อย่างผิดกฎหมาย ในขณะที่เผยแพร่ เงินที่ถูกแฮ็กส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกระเป๋าเงินของผู้โจมตี

ขณะที่ทาง Binance ซึ่งให้การสนับสนุน Axie Infinity ได้ตอบรับระบบป้องกันภัยทางธุรกรรมในทันที โดยให้การสนับสนุนทางเทคนิคและทางกฎหมาย โดยได้ประกาศระงับการฝากถอนทุกรูปแบบบนเครือข่าย Ronin และได้ให้ความช่วยเหลือแก่ทีมงานตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยได้บล็อกบัญชีผู้ใช้งานที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแฮ็กเกอร์เพิ่มเติมอีกเช่นกัน

นอกจากนี้ Binance ยังได้ทำการระงับการถอน WETH หรือ Wrapped Ethereum และการแปลงระหว่าง WETH กับ ETH บนเครือข่าย Ethereum เพื่อป้องกันอีกช่องทางหนึ่ง โดย Wrapped Token จะเป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาในสถานะเป็นเหรียญเงาของเหรียญนั้นๆ โดยมีการนำเหรียญที่ทำการ Wrap จริงๆ มาค้ำมูลค่าไว้ เพื่อให้เหรียญนั้นๆ สามารถไปใช้งานในเครือข่ายอื่นได้)

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

SELIC กางแผนปี 65 พัฒนาผลิตภัณฑ์กาวรักษ์โลก

ซีลิค คอร์พ กางแผนปี 65 มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพิ่มขึ้น หวังครอบคลุม-ตอบโจทย์ตลาด ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย ท่ามกลางแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่ยังไม่อ่อนตัวลง ทิ้งท้ายความแข็งแกร่งในปี 64 โกยรายได้ 1,466.03 ล้านบาท เติบโต 16% และกำไรสุทธิที่ 81.5 ล้านบาท

น.ส.ยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) (SELIC) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 นั้น บริษัทฯ เน้นการเติบโตในตลาดเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนได้จากความประสบความสำเร็จจากปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 1,466.03 ล้านบาท เติบโต 16% เมื่อเทียบกับปี 2563 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 81.5 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG เรื่องการปรับปรุงกระบวนการ ตัวอย่างเช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์กาวรักษ์โลกเพิ่มขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมและตอบสนองต่อตลาดได้มากขึ้น นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ยังคงร่วมมือกับหน่วยงาน และโครงการต่างๆ เพื่อช่วยกันผลักดันด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม

สำหรับแรงขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้ มาจากการรักษาฐานกลุ่มเป้าหมายเดิมของภาคธุรกิจให้มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตลาดผ่านช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงมองโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เช่น การควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทีมวิจัยและพัฒนาสินค้า (Research and Development หรือ R&D) โดยมองว่า R&D เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อให้ธุรกิจทำกำไรได้มากขึ้น และในปีนี้บริษัทฯ จะใช้ประโยชน์จาก R&D เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ให้บริษัทฯ เช่นกัน

“ในปีนี้ยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนผลิต ท่ามกลางภาวะการปรับตัวของราคาสินค้าและวัตถุดิบที่สําคัญ รวมถึงซีลิคมีความมุ่งมั่น และพร้อมที่จะปรับตัวและสร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลด้านต้นทุน ส่วนแผนการปฏิบัติงานต่างๆ ภายในองค์กร จะเน้นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อต้นทุนและค่าใช้จ่าย โดยอาศัยการทํางานแบบ Agile ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอย่างคล่องตัวต่อภาวะต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น นอกเหนือจากนั้นทีมงานวิจัยและพัฒนา (Research and Development หรือ R&D) จะมีบทบาทสําคัญในการต่อสู้กับความท้าทายนี้เช่นกัน” น.ส.ยุวดี กล่าว

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

ก.ล.ต.เล็งเพิ่มโทษ ‘ปั่นหุ้น-อินไซด์เทรดดิ้ง’ ยกระดับการใช้กฎหมาย

ก.ล.ต.กางแผนบังคับใช้กฎหมายปี 65 เล็งเพิ่มโทษปั่น-อินไซด์หุ้น เอาผิดคนรับข้อมูล พร้อมทบทวนโทษทางแพ่ง หลังเจอปัญหา “เจอ จ่าย จบ” เสนอแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.สอบสวน-คุ้มครองพยาน

นายศักรินทร์ ร่วมรังษี รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำหรับการบังคับใช้กฎหมายในปี 2565 ก.ล.ต.มีแผนแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการสร้างราคาหุ้น (ปั่นหุ้น) และการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน (อินไซด์เทรดดิ้ง) เพื่อให้มีความครอบคลุมมากขึ้น จากเดิมกฎหมายดังกล่าวจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นบุคคลภายในเท่านั้น แต่กฎหมายใหม่จะเอาผิดทางกฎหมายกับบุคคลที่ได้รับข้อมูลด้วย

นอกจากนี้ ก.ล.ต.จะใช้มาตรการในเชิงป้องกันผ่านการให้ความรู้ว่าการกระทำใดบ้างที่เข้าข่ายการปั่นหุ้นและอินไซด์เทรดดิ้ง รวมถึงการนำเทคโนโลยี อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (Machine Learning) มาช่วยตรวจสอบธุรกรรมที่มีความผิดปกติ เพื่อป้องกันและยับยั้งการกระทำความผิดตั้งแต่ต้น

ในขณะเดียวกัน ก.ล.ต.มีแผนประเมินและทบทวนประสิทธิผลของมาตรการลงโทษทางแพ่งด้วยในปีนี้ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำนักงานฯ ใช้ลงโทษผู้กระทบผิดมามากกว่า 5 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2559) จึงเห็นสมควรต้องทบทวนประสิทธิผล แม้มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินการกับผู้กระทำผิดทำได้เร็วและมีประสิทธิผล แต่ยังมีข้อเสียที่เรียกกันว่า “เจอ จ่าย จบ” กล่าวคือ เมื่อผู้กระทำผิดมาจ่ายค่าปรับก็จบไป ไม่ได้เกิดความเกรงกลัวในการดำเนินการของ ก.ล.ต.

ในส่วนของมาตการลงโทษทางอาญา อยู่ระหว่างเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ ก.ล.ต.มีอำนาจในการสอบสวนก่อนส่งเรื่องไปยังอัยการ จากเดิมต้องดำเนินการผ่านพนักงานสอบสวน ซึ่งที่ผ่านมามีการร่วมมือกับตำรวจด้านเศรษฐกิจ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และตำรวจด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีอุปสรรคในแง่ที่ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจที่มีลักษณะเฉพาะในการสอบสวน

นอกจากนี้ ก.ล.ต.เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองพยานให้เข้ามาอยู่ในกฎหมายหลักทรัพย์ โดยเฉพาะพยานบุคคล ซึ่งเป็นพยานสำคัญในการสนับสนุนการจับผู้กระทบความผิด จากเดิมพยานบุคคลมักเกรงกลัวการให้ข้อมูล เนื่องจากผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลใกล้ชิด หรือเป็นบุคคลที่พยานอยู่ใต้อิทธิพล โดยหวังว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะทำให้มาตรการอาญามีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายศักรินทร์ กล่าวว่า สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ก.ล.ต.มีแผนบังคับใช้กฎหมายเพื่อดูแลการซื้อขายมากขึ้น ทั้งการดูแล Front-line Regulator หรือศูนย์การซื้อขาย (Exchange) ให้ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตลาด ดูแลผู้ออกเหรียญให้เปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วน รวมถึงดูแลสภาพการซื้อขาย ซึ่งอาจพิจารณาเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องหมายหยุดซื้อขาย หรือเพดานซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (ซิลลิ่ง-ฟลอร์) เป็นต้น

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business

125 ปี การรถไฟฯ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ร.5 เร่งปักหมุดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั่วปท. ทำแผนที่ระบบดิจิทัล

รฟท.ครบรอบ 125 ปี น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ร.5 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ รถจักรไอน้ำ”กรุงเทพ-อยุธยา”ปักหมุดหลักกิโลเมตรที่ 0 กรรมสิทธิ์ที่ดิน แสดงพิกัด 3,840 จุด คาดเสร็จในเม.ย.ทำแผนที่ระบบดิจิทัล

วันนี้ (26 มีนาคม 2565) เวลา 7.00 น. ณ หน้าตึกบัญชาการรถไฟ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาการรถไฟ ครบรอบ 125 ปี โดยมีนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คณะผู้บริหารและพนักงานรฟท. ร่วม โดยมีการ ถวายพระราชสักการะและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ แด่พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานกิจการรถไฟไทยให้แก่ปวงชนชาวไทย และพระอนุสาวรีย์ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน อดีตผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง พระบิดาแห่งกิจการรถไฟยุคใหม่ พร้อมทั้งร่วมตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งพระสงฆ์ 19 รูปร่วมกัน

สำหรับที่ สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) มีพิธีสักการะอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวง ที่สร้างขึ้นในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดเดินรถไฟหลวงสายแรกในสยาม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2439 เส้นทางสถานีกรุงเทพ-อยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร ซึ่งการรถไฟฯ จึงได้กำหนดให้วันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

พร้อมกันนี้ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนพิเศษรถจักรไอน้ำนำเที่ยว ขบวนที่ 901 (กรุงเทพ-อยุธยา) บริเวณชานชาลาที่ 5 เป็นรถจักรไอน้ำ รุ่นแปซิฟิก รุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเปิดให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์ และร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

@ปักหมุดหลักกิโลเมตรที่ 0 ขึงแนวกรรมสิทธิ์ที่ดินรถไฟทำแผนที่ดิจิทัล

ต่อมาเวลา 8.20 น. นายนิรุฒ มณีพันธ์ ได้เป็นประธานในพิธีปักหมุดหลักกิโลเมตรที่ 0 (ศูนย์) ของเส้นทางการรถไฟฯ บริเวณลานน้ำพุหัวช้าง ซึ่งเคยเป็นหลุมหลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมา พนักงานและลูกจ้างของการรถไฟฯ ได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างลานน้ำพุหัวช้างขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยบริเวณเดียวกับจุดยอดบนสุดของน้ำพุหัวช้าง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของหลักกิโลกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำหรับสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลที่ดินของการรถไฟฯ ที่จะเปลี่ยนจากข้อมูลแผนที่แบบกระดาษ ไปสู่การทำแผนที่ดิจิทัล ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System) หรือ GIS

ทั้งนี้ ในการปักหมุดหลักกิโลกรรมสิทธิ์ที่ดิน การรถไฟฯ มีแผนจะติดตั้งเพื่อใช้แสดงพิกัดอ้างอิงตามแนวเส้นทางของการรถไฟ ทุกๆ 1 กิโลเมตรไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ติดตั้งหลักกิโลกรรมสิทธิ์ที่ดินไปแล้ว 3,551 จุด จากทั้งหมด 3,840 จุด คงเหลือ 289 จุด ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนปีนี้

จากนั้นได้เดินทางไปยังสโมสรรถไฟ เพื่อมอบโล่และประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติงานครบ 25 ปี พร้อมแหนบที่ระลึก รางวัลพนักงานดีเด่นประจำปี2564 และรางวัลล้อปีกรถไฟเกียรติยศ ชั้น 1, 2 และ 3

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ ครบรอบ 125 ปี การรถไฟฯ ได้ปรับแต่งภูมิทัศน์ ณ จุดปักหมุดกิโลที่ 0 บริเวณลานน้ำพุหัวช้าง และอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวง ด้วยดอกไม้ ต้นไม้ตามฤดูกาลที่มีสีสันสวยงาม โดยใช้สีเหลือง แดง ชมพู และขาว ภายใต้แนวคิดสวนร่วมสมัยสไตล์ฝรั่งเศส โดยด้านหลังอนุสาวรีย์ ใช้ต้นไทรเกาหลีเป็นฉากสีเขียว แซมด้วยไทรยอดทองพุ่มกลมซึ่งไห้สีเหลือง ขณะที่ตามแนวรั้วใช้ต้นหมากนวลทองใบสีเหลือง เป็นสีแทนในหลวงรัชกาลที่10 ส่วนแนวถนนทางเข้าใช้พุดด่างพุ่มกลมไห้สีขาวเขียวและปิดขอบบริเวณยอดด้วยสีแดงของต้นคริสติน่า เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ รัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงนำเทคโนโลยีในต่างประเทศเข้ามาพัฒนาความเจริญให้แก่ประเทศไทย จนเกิดเป็นระบบคมนาคมขนส่งทางรางที่ทันสมัย และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ และประเทศชาติเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/business

บอร์ดThaiBMA ไฟเขียวตั้ง “ดร.สมจินต์ ศรไพศาล” นั่ง กรรมการผู้จัดการ

คณะกรรมการ(บอร์ด) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA มีมติแต่งตั้ง ดร.สมจินต์ศรไพศาล เป็นกรรมการผู้จัดการ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ต่อจากนายธาดา พฤฒิธาดา ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง

รายงานข่าวจากสมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA ระบุว่า คณะกรรมการ สมาคมตราสารหนี้ไทย มีมติแต่งตั้งมติแต่งตั้ง ดร.สมจินต์ศรไพศาล เป็นกรรมการผู้จัดการต่อจากนายธาดา พฤฒิธาดา ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2565

ทั้งนี้ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมอุตสาหการ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปริญญาโทด้านธุรกิจญี่ปุ่นศึกษาจาก Chaminade University of Honolulu โดยได้รับทุนการศึกษา Fujitsu Asian Scholarship Program

ดร.สมจินต์ ได้รับปริญญาเอกด้านการบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน จากโครงการปริญญาเอกร่วมสาขาบริหารธุรกิจ ระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

 

ดร.สมจินต์มีประสบการณ์ในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้มากว่า 30 ปี โดยเคยดำรงตำแหน่ง Assistant manager ของ Kankaku Securities ในประเทศญี่ปุ่น Deputy General Manager ของ Bond Dealers Club อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ของ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) วรรณ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทหารไทย

นอกจากนี้ดร.สมจินต์ยังเป็นวิทยากร ในหลักสูตรอบรมความรู้ในตลาดทุนให้กับองค์กรต่างๆ อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยมาอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/money_market

โบรกแนะ”พัก”ลงทุนหุ้น DITTO จับตา3ปัจจัยหนุน ลุ้นอัพไซด์

โบรก เตือน ราคาหุ้น “ดิทโต้” ขึ้นแรงเกินราคาเป้าหมาย พี/อี เกิน100 เท่า แนะนักลงทุนรายใหม่เลี่ยงลงทุน ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมแนะถือ รอลุ้น “งานใหญ่ 5 พันล้าน -คาร์บอนเครดิต -การผ่านกฎหมายดิจิทัลภาครัฐ ” หนุนผลดำเนินงาน

ความเคลื่อนไหว ราคาหุ้น บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ DITTO วานนี้ผันผวนหนัก โดยปรับตัวลงต่ำสุดในช่วงเช้า ที่ 51.75 บาท ลดลง 10.8% ก่อนจะรีบาวด์ช่วงท้ายตลาดราคากลับมาปิดเท่ากับราคาปิดวันก่อนหน้า ที่ 58 บาท

นายนภนต์ ใจแสน รองผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ ราคาหุ้น DITTO ปรับลงวานนี้ ปัจจัยหลักมาจากเข้ากำกับการซื้อขายระดับ3 ห้าม Net settlement, ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ซึ่งมีผล 24 มี.ค. -12 เม.ย. ซึ่งเป็นเซ็นทริเม้นต์เชิงลบทำให้นักลงทุนกังวล

ทั้งนี้บริษัทปรับคำแนะนำหุ้น DITTO โดยหากเป็นนักลงทุนรายใหม่ยังไม่แนะเข้าซื้ แต่หากเป็นนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะ ถือ โดยให้ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 50 บาท และแนวต้าน 58 บาท

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว แต่ต้องรอความชัดเจน 3 ปัจจัยที่จะเป็นอัพไซด์ในระยะถัดไป ดังนี้

1.การเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐในช่วงปลายปีนี้ มูลค่า 5,000 ล้านบาท

2.การศึกษาโครงการคาร์บอนเครดิต หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้

3.รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะกำหนดกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งองค์กรของรัฐทั้งหมดจะต้องมีอแฟลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อลดการใช้กระดาษ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างมากสำหรับ DITTO

โดยเฉพาะการศึกษาโครงการคาร์บอนเครดิตที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น การปลูกป่าชายเลน และขายเป็นคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นระดับGlobal Scale ซึ่งธุรกิจในส่วนนี้สามารถต่อยอดจากโครงการคัดแยกขยะที่บริษัททำมาต่อเนื่องได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้หาก 3 ปัจจัยถ้าชัดเจนมากขึ้นก็สามารถเข้าซื้อได้ ซึ่งราคา ณ ปัจจุบันถือว่าเป็นจุดที่ทำกำไรได้หลังจากราคาหุ้นปรับขึ้นไปมากแล้วก่อนหน้านี้

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business

หุ้นกลุ่มน้ำมันหนุนตลาด ดันหุ้นไทยปิด +2.94 จุด โบรกฯ แนะจับตาประชุมนาโต้

หุ้นไทยปิดตลาด +2.94 จุด โบรกฯ ชี้ดัชนี SET INDEX แกว่งบวกจากแรงซื้อหุ้นพลังงานเข้าหนุนหลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แนะจับตาผลประชุม NATO ในคืนนี้จะเพิ่มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอีกหรือไม่ พร้อมประเมินกรอบการลงทุนแนวต้านที่ 1,690 จุด และแนวรับที่ 1,670 จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 24 มีนาคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.94 จุด หรือ +0.18% โดยปิดตลาดที่ 1,680.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 66,566.59 ล้านบาท โดยภาพรวมการลงทุนวันนี้หุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบๆ ในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,685.12 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,675.19 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 594 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 646 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 1,083 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า 2,833.27 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -651.47 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -29.64 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -2,152.15 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,018.10 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
2.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,767.99 ล้านบาท ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
3.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,317.81 ล้านบาท ปิดที่ 159.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
4.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,891.46 ล้านบาท ปิดที่ 64.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
5.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,579.38 ล้านบาท ปิดที่ 231.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่ 231.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท หรือ 2.21%
2.PTTEP ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 1.32%
3.CENTEL ปิดที่ 40.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 3.23%
4.COM7 ปิดที่ 42.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 3.01%
5.MEGA ปิดที่ 46.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.79%

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 161.00 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 2.72%
2.CBG ปิดที่ 104.50 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 2.34%
3.RCL(XD) ปิดที่ 45.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 4.21%
4.AEONTS ปิดที่ 195.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.02%
5.DOHOME ปิดที่ 21.30 บาท ลดลง 0.90 บาท หรือ 4.05%

ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,297.50 จุด เพิ่มขึ้น 6.28 จุด หรือ 0.27% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 1,012.34 จุด เพิ่มขึ้น 3.73 จุด หรือ 0.37% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 629.62 จุด ลดลง -1.27 จุด หรือ -0.20%

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวแคบ และวอลุ่มการซื้อขายเบาบาง แต่ยังปิดบวกได้ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ (กลุ่ม TIP) รวมถึงสิงคโปร์ และมาเลเซีย คาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศ (Fund Flow) ไหลเข้า โดยวันนี้หุ้นขนาดกลางและเล็กปรับตัวขึ้นมาแต่ไม่ได้มีผลต่อภาพรวมดัชนีมากนัก

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานทั้งน้ำมันและถ่านหินปรับตัวขึ้นช่วยพยุงตลาดไว้ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่เหนือ 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังมีรายงานว่าบริษัท แคสเปียน ไปป์ไลน์ คอนซอร์เทียม (CPC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัสเซียและคาซัคสถานไม่สามารถส่งออกน้ำมันจากโรงงานที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลดำ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากพายุ และต้องใช้เวลาซ่อมแซมราว 1 เดือนครึ่ง

นอกจากนี้ ตลาดรอการประชุมองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ที่มีสมาชิกหลักอย่างสหรัฐฯ และชาติยุโรปจะมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมหรือไม่ แต่คาดว่ายุโรปไม่ต้องการคว่ำบาตรเพิ่ม เนื่องจากราคาน้ำมันสูงจากเหตุการณ์ CPC ไม่สามารถส่งน้ำมันได้ หากคว่ำบาตรอีกจะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น เป็นแรงกดดันเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก

ขณะที่แนวโน้มการลงทุนวันพรุ่งนี้มองว่าขึ้นอยู่กับการประชุม NATO คืนนี้ว่าจะมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมหรือไม่ โดยประเมินกรอบแนวต้านที่ 1,690 จุด และแนวรับที่ 1,670 จุด

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket

เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.25% ครั้งแรกรอบ 3 ปี หุ้นไทยลุ้นทดสอบ 1,680 จุด

บล.ฟิลลิปประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีแนวโน้มแกว่งตัวอิงทางขึ้นในกรอบ 1,660-1,685 จุด ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1,680 จุด หากผ่านไปได้มีโอกาสเห็น SET Index กลับขึ้นไปถึง 1,700 จุดภายในเดือนนี้ ประชุมเฟดออกมาไม่มี Negative Surprise ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.25% ครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี นับตั้งแต่ปลายปี’61 มองสงครามรัสเซียยูเครนจะยิ่งกดดันให้เกิดเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจชะลอตัว

วันที่ 17 มีนาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า ดัชนี SET Index เช้านี้คาดปรับตัวขึ้นต่อได้หลังเมื่อคืนผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกมาไม่มี Negative Surprise โดยปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.25-0.50% ตามคาดการณ์ ประกอบกับในประเทศมีแรงซื้อจากเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) กลับเข้ามากว่า 6,200 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 1 เดือนนับตั้งแต่มีความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

ซึ่งวานนี้ประธานาธิบดียูเครนได้มีถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสของสหรัฐเรียกร้องให้สหรัฐเป็นผู้นำสันติและช่วยเหลือยูเครนในการต่อต้านการรุกรานจากรัสเซีย ส่วนการเจรจาเบื้องต้นมีรายงานว่าประธานาธิบดีปูตินและเซเลนสกีจะเจรจากันโดยตรงในอีกไม่ช้า จึงน่าจับตาว่าจะเริ่มมีสัญญาณในการยุติสงครามได้หรือไม่

ภาพรวม SET Index ยังทำทรงดีต่อจากวานนี้ ที่ตลาดดีตตัวแรงหลังจีนประกาศเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือผลการล็อกดาวน์ในหลายเมือง ทำให้เศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงไม่มาก

จึงคาดว่าเช้านี้ SET Index มีแนวโน้มแกว่งตัวอิงทางขึ้นในกรอบระหว่าง 1,660-1,685 จุด ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1,680 จุด หากผ่านไปได้มีโอกาสได้เห็น SET Index กลับขึ้นไปถึง 1,700 จุดภายในเดือนนี้

สำหรับผลการประชุม FOMC เมื่อคืนนี้ มีประเด็นสำคัญดังนี้

1.ปรับขึ้นอตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี นับตั้งแต่ปลายปี 2561 มองสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยิ่งกดดันให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัว

2.คาดการณ์ดอกเบี้ยหรือ Dot Plot มีโทนออกมาทาง Hawkish เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้จะมีค่ากลางอยู่ที่ 1.9% ตรงตามที่นักลงทุนคาด แต่สูงกว่าคาดการณ์ครั้งก่อน นั่นคือ Fed จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในทุกการประชุมที่เหลือของปีจำนวน 6 ครั้ง ส่วนปี 2566 และ 2567 ค่ากลางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ราว 2.8% ซึ่ง Fed ยังคงยืดหยุ่นและพร้อมจะใช้โยบายทางการเงินตามสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐ

3.การลดขนาดงบดุลหรือการทำ QT ทาง Fed จะประกาศรายละเอียดในการประชุมครั้งหน้าเดือน พ.ค. 2565 นั่นคือมีแนวโน้มจะเริ่มทำครั้งแรกในเดือน มิ.ย. 2565 ตรงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้

4.คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้ Fed คาดว่า GDP สหรัฐจะขยายตัวเพียง 2.8% ลดลงจากครั้งก่อนที่ 4% เงินเฟ้อพื้นฐานไม่รวมอาหารและพลังงานวัดค่าจาก Core PCE อยู่ที่ 4.1% ครั้งก่อน 2.7% และอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.5% เป็นผลกระทบโดยตรงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในธีมต่อไปนี้ 1.หุ้นรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มธนาคารและประกันภัย (KBANK, KKP, BBL) 2.หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลรับโควิดสายพันธุ์ใหม่ (BCH, CHG, IMH) 3.หุ้นรับประโยชน์ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลง (SCGP, SC) และ 4.หุ้นรับมาตรการช่วยลดค่าครองชีพจากรัฐบาล

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance

UBE ตั้ง “สุรียส โควสุรัตน์” นั่งเอ็มดีใหญ่

“อุบล ไบโอ เอทานอล” แต่งตั้ง น.ส.สุรียส โควสุรัตน์ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ขับเคลื่อนธุรกิจ รุกขยายฐานการลงทุนต่อเนื่อง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กลุ่มบริษัท ตั้งเป้าปี 65 เติบโต 15-20%

บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจร แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 ได้รับทราบการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการบริหาร ของนายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2565 มาดำรงตำแหน่งขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้านการวางแผนและกลยุทธ์องค์กร และอนุมัติการแต่งตั้งให้ น.ส.สุรียส โควสุรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) คนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ น.ส.สุรียส โควสุรัตน์ เป็นผู้บริหารที่มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ การวางระบบการทำงานและการดูแลด้านการปฏิบัติการ มีความสามารถ มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมพลังงานและอาหาร มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ และเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีเครือข่ายในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่ตอบโจทย์อาหารแห่งอนาคต

น.ส.สุรียส โควสุรัตน์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) คนใหม่ เปิดเผยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเป็นผู้นำขององค์กรในครั้งนี้ พร้อมต่อยอดธุรกิจตามเป้าหมายที่แจ้งไว้ในเอกสารชี้ชวน และจะดำเนินธุรกิจให้ครบด้านทั้งการหาโอกาสทางการตลาด ธรรมาภิบาล การใส่ใจเกษตรกร ชุมชนโดยรอบโรงงาน เรื่องสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาพนักงานให้เป็นนวัตกรในองค์กร ขับเคลื่อนร่วมกันไปให้ยั่งยืน”

ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง จะเพิ่มการผลิตแป้งมันสำปะหลังออแกนิกและแป้งฟลาวมันสำปะหลัง ที่ปราศจากกลูเตน (Gluten Free) ภายใต้แบรนด์ Tasuko เพื่อตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพที่มาแรงและได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี รวมถึงการขยายการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูง (High Value Product หรือ HVP) ชนิดอื่นๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีมูลค่าสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับข้าวออแกนิก สารให้ความหวาน รวมถึงผลิตภัณฑ์เบเกอรีและขนมหวาน ซึ่งกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเพิ่มฐานรายได้และหนุนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

สำหรับแผนธุรกิจ 3 -5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ มีเป้าหมายผลักดันธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งธุรกิจเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังจะเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 70 และธุรกิจเอทานอลลดสัดส่วนผลิตลงเหลือร้อยละ 30

น.ส.สุรียส กล่าวอีกว่า สำหรับรายได้ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 15-20% จากปี 2564 ที่มีรายได้จากการขาย 6,966.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,532.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 57.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 320.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 223.1 เทียบปีที่ผ่านมา จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอทานอลเกรดอุตสาหกรรมและแป้งออแกนิก ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของ spread เอทานอลเกรดเชื้อเพลิง นับเป็นการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ

“ในปี 2565 UBE มองเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ จากแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังและความต้องการในผลิตภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงการเร่งเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพ ตลอดจนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ UBE อย่างมั่นคง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้นักลงทุนอย่างยั่งยืน” น.ส.สุรียส กล่าว

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket